วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคนิคการทำอนิเมชัน

ประโยชน์ของการตื่นเช้า


/data/content/25660/cms/e_dejmnrsu2578.jpg
          การตื่นเช้ามีประโยชน์กับเราหลายอย่างมาก ทั้งสุขภาพกายและใจ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
          1. ต้อนรับวันใหม่-ด้วยอากาศสดชื่น แถมอากาศในตอนเช้ายังมีวิตามินที่ดีกับร่างกายอีกด้วย
          2. ไม่ต้องรีบร้อนแข่งขันกับเวลา-คนตื่นเช้า ไม่ต้องกลัวรถติด ไม่ต้องกลัวไปไม่ทัน
ได้อาบน้ำสบายๆ ไม่ต้องรีบ
          3. ได้พบกับความสงบ-ตอนเช้าสงบเงียบ ไร้เสียงใดๆ ถ้าใครคิดงานไม่ออก
ลองตื่นเช้ามานั่งทำงานที่ค้างไว้ รับรองคิดออกแน่ๆ แต่คุณต้องนอนหลับสนิทมาตลอดทั้งคืน
          4. มีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย-ตื่นเช้ามาออกกำลังกายสักนิด เพื่อสุขภาพที่ดี
          5.ได้ทานอาหารเช้า-อาหารมื้อสำคัญที่ชอบมองข้าม อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด
กินได้เยอะที่สุด เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เราต้องเติมพลังงานให้เต็มที่ก่อนเริ่มวันใหม่
          6. มีเวลาเพิ่มมากขึ้น-แล้วคุณจะรู้ว่า วันๆ หนึ่งของคุณ มีเวลาเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
          7. ได้พบแสงแดดยามเช้า-นี่เป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับทุกคนในตอนเช้า
แต่กลับไม่มีใครคิดอยากจะได้ของฟรีแบบนี้ การมองดูแสงแดดที่ค่อยๆ ส่องแสงเรืองรอง
บนท้องฟ้าระหว่างที่วิ่งออกกำลังกายไปด้วยเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างที่ไม่สามารถหาได้จาก
ที่ไหนอีกแล้ว
          8. มีเวลาให้กับเป้าหมายในชีวิต-เชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตกันทั้งนั้น
และก็ไม่มีเวลาไหนหรอกที่เหมาะกับการใช้เวลาทบทวนเป้าหมายและวางแผนไปกว่าเวลาในตอนเช้า
          9. การทำกิจวัตรอย่างสบายๆ-ไม่ต้องรีบซิ่งไปตอกบัตรที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องตาลีตาเหลือก
สามารถไปถึงที่ทำงานก่อนคนอื่นๆ และเริ่มทำงานก่อนชาวบ้าน 
          10. ขับถ่ายของเสีย-ในช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่อวัยวะเริ่มทำงาน ทั้งลำไส้เล็กและสำไส้ใหญ่
ที่เริ่มขับของเสียออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขับของเสียต่างๆ ออกได้หมด ผิวพรรณก็จะสดใส
จิตใจเบิกบาน พร้อมที่จะลุยงานให้สำเร็จ

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/Content/25660

ทำเนียบแชมป์ฟุตบอลโลก World Cup


20 อันดับประเทศที่รวยที่สุดในเอเชีย


อาชีพเสรีอาเซียน 8 อาชีพ

อาชีพเสรีอาเซียน 8 อาชีพ






8 อาชีพเสรีในอาเซียน 

เพื่อส่งเสริมให้เป็นตลาดและฐานผลิตเดียวที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ และการลงทุน แรงงานฝีมือ และเงินทุนอย่างเสรี ทั้งนี้ได้กาหนดเป้าหมายให้เป็นปีที่มีลักษณะของการรวมกลุ่มประเทศเปลี่ยน เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทาให้เกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านแรงงาน จะมีการถ่ายเทแรงงานด้านฝีมือเพื่อให้สามารถทางานในประเทศสมาชิกได้ง่ายขึ้นใน 8 สาขาอาชีพ คือ

1. วิศวกรรม
2. การสารวจ
3. สถาปัตยกรรม
4. แพทย์
5. ทันตแพทย์
6. พยาบาล
7. บัญชี
8. การบริการ/การท่องเที่ยว

อาชีพอิสระที่ได้มาตรฐานได้รับการรับรองสามารถเคลื่อนย้ายไป ทางานในประเทศแถบอาเซียนได้ทันที ไม่มีการปิดกั้น อาชีพที่ได้ตกลงไว้คือ แพทย์ พยาบาล บัญชี สถาปนิก วิศวกร
โดยในตอนแรกมีการตกลงว่าภาษาที่ใช้ในประชาคมคือภาษาอังกฤษ ซึ่งนักเรียนควรตระหนักในเรื่องนี้ให้มาก จะต้องเรียนให้เก่งจริง เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ต้องใช้องค์ความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะต้องรู้ภาษาอังกฤษ รู้ภาษาจีน รอบรู้ประวัติศาสตร์ และรู้เทคโนโลยีด้วย

ขณะนี้มีหลายประเทศที่รายได้เฉลี่ยต่ากว่าไทย ดังนั้นจะมีแรงงานต่างชาติเข้ามาทางานในเมืองไทยอย่างแน่นอน ช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไปอาจยังไม่มีผลกระทบทางลบมากนัก แต่นานไปก็น่าเป็นห่วงว่าคนไทยจะไม่มีงานทา หรือโดนแย่งงานจากแรงงานต่างชาติ
ใน 4-5 ปีข้างหน้า 10 ประเทศก็จะเหมือน 10 จังหวัด ในการเปิดเสรีทางเงินทุน การค้า การบริการ แต่ข้อเท็จจริงการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือจะต้องมีกฎกติกาตามเงื่อนไขที่ตกลง กัน ในประเด็น 7 สาขาวิชาชีพ ช่างสารวจ สถาปนิก บัญชี แพทย์ หมอฟัน วิศวกร พยาบาล

เมื่อมีกฎแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศนั้น ๆ ด้วย เช่น วิศวกร จะไปทางานที่ประเทศสิงคโปร์ ก็ต้องผ่านการสอบของสิงคโปร์ด้วย กลุ่มแรงงานระดับล่างยังไม่ตกลงเพราะเป็นเรื่องใหญ่ แต่อีกกลุ่มวิชาชีพหนึ่งคือ บุคลากรวิชาชีพทางการท่องเที่ยว กาลังอยู่ในขั้นตอนการตกลง มี 9 ประเทศลงนาม

เรียบร้อยแล้ว แต่ไทยยังไม่ลงนามเพราะติดกรอบทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการทาข้อตกลงกับต่างประเทศต้องได้รับการยินยอมจากรัฐสภา แม้ยังไม่ลงนามก็มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ถ้าไม่ลงนามก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานได้
อย่างไรก็ตามสิ่งสาคัญที่ควรจะกล่าวถึงเรื่องของสมรรถนะ ความรู้ความสามารถ (Competency) ในการบริการ การทางานกับเพื่อนร่วมงานอย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับตัว ความเร็วในการทางาน ความยืดหยุ่นในการทางานเป็นหลัก แต่ต่อไปนี้จะทางานตามหน้าที่ คนมีสมรรถนะคือคนที่ทางานเร็ว เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และพัฒนาสม่าเสมอ
แพทย์และพยาบาลก็เป็นอาชีพหนึ่งที่เป็นที่สนใจของอาเซียน แม้แต่ในประเทศไทยก็เป็นที่ต้องการมาก สถานประกอบการบางแห่งก็ขาดแคลน พยาบาลโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอาชีพหนึ่งที่ขาดแคลน เพราะตามกฏหมายสถานประกอบการหรือโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีพยาบาลประจำโรงงาน เช่น กรณี ลูกจ้าง 200-999 คน ต้องจ้างพยาบบาลจำนวน 1 คนตลอด 8ชั่วโมง และเพิ่มทุก 1000 ขึ้น ต่อพยาบาล 1คน เป็นต้น

ที่มา : http://www.uasean.com/kerobow01/502

สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน

30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน 

1. “Twenty-four Seven”  สำนวนนี้หมายความว่าอะไร เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน” ค่ะ
2.  “Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “เริ่มทำอะไรสักอย่าง” แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเท่ากับ “Let’s start now-เราเริ่มกันเถอะ”
3. “Take it easy”  ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend.  I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.” ความหมายก็คือ “I’m going to relax.-ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”
4. “Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow.  I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจ แล้วจะบอกคำตอบทีหลัง” ค่ะ
5. “I’m broke.” อันนี้ได้ยินบ่อยมากๆเลยค่ะ สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้แต่ความหมายจริงๆของสำนวนนี้ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ “I’m broke.” เท่ากับ “I have no money – ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ
6. “Sharp” เมื่อใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” คุณว่าหมายความว่าอะไรคะ ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”
7. “Like the back of my hand”  ความหมายของสำนวนนี้คืออะไร “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง” เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายของฉันก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมากค่ะ เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมายก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ
8. “Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want to help me?” สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆนะคะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me?-คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
9. “In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time-เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time-ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”
 10. “Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
11. “behind one’s back”  แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)
12. “turn one’s back on”  แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง  ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)
13. “get back at”  แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him. (ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)
14. “hold something back”  แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)
15. “be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน
16. “be oneself” แปลว่า เป็นปกติธรรมดา “You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)
17. “be tired of” แปลว่า รำคาญ เบื่อ เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed. (ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)
18. “beyond hope” แปลว่า ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)
19. “big-headed” แปลว่า หยิ่งยะโส ตัวอย่างเช่น  “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)
20. “A great deal” แปลว่า จำนวนมาก มากมาย ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you. (พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
21. “After all”  แปลว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children. (แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)
22. “After one’s own heart” แปลว่า ได้ดังใจ สมใจคิด ถูกใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)
23. “All over the place ” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)
24. “Around the corner” แปลว่า  อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)
25. “As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)
26. “As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)
27. “Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue
28. “Let the cat out of the bag” แปลว่า หมายถึง หลุดปากเผยความลับออกมา ตัวอย่างเช่น  “I let the cat out of the bag about their wedding plans.”
29. “To feel under the weather”  หมายถึง ไม่สบาย ป่วย ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”
30. “Jack of all trades” หมายถึง คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง

ที่มา :http://teen.mthai.com/education/83291.html

VRZO สาระมีอยู่จริง - กฎหมายแปลกๆ


How to make Meringue


จดเลคเชอร์ยังไงให้ไว แถมอ่านออกด้วย!

1. อย่าจดทุกคำ
           เราเคยได้ยินกันมาว่าฟังไปจดไป ทำให้จดช้า ตกประเด็นสำคัญไป อันนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่จะให้ฟังทีเดียวแล้วจดก็ทำยากเกินไป เพราะอาจารย์อาจไม่มีช่องไฟให้หยุดเขียนเลย ดังนั้นถ้าฟังแล้วค่อยจดมันทำยาก เราก็ต้องฝึกฟังไปจดไปให้ได้ นั่นก็คือ ฝึกจับใจความและอย่าจดทุกคำ
           การจับใจความการฟัง อาจจะยากนิดนึง ทั้งหู สมอง และมือต้องทำงานไปพร้อมกัน หูฟังอาจารย์ จากนั้นประมวลผลและจดเฉพาะสาระสำคัญของแต่ละประโยคลงสมุดให้เป็นภาษาเรา เพราะการจดตามอาจารย์ทุกอย่างที่พูดคงได้คำฟุ่มเฟือยมาเยอะเลยค่ะ ซึ่งคำฟุ่มเฟือยทั้งหลายก็เป็นส่วนเกินที่สามารถตัดทิ้งได้โดยไม่ทำให้เนื้อหาเปลี่ยน เช่น
            "เอ้า ต่อไปครูจะพูดหัวข้อประเทศในอาเซียน อาเซียนมี 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย....." ถ้าจดตามยังไงก็ไม่ทัน
             แต่ถ้าเราจดแค่ "อาเซียนมี 10 ประเทศ : ไทย อินโด...."  เห็นมั้ย มันสั้นกว่ากันเยอะมากๆๆ  
    
       
 2. ใช้อักษรย่อ
            จากข้อ 1 วิธีที่ทำให้เราจดเร็วขึ้น ก็คือ การใช้อักษรย่อที่มีอยู่แล้ว เช่น กิโลกรัม เป็น ก.ก., ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็น USA  หรือคำย่อที่รู้เฉพาะเรา เช่น สมัย ย่อเป็น ส., ความ ย่อเป็น ค. เพราะย่อเป็น พ. , ประเทศ ย่อเป็น ป. เป็นต้น ตัวย่อจะช่วยให้เราเขียนน้อยลง แต่ใจความยังเหมือนเดิม ช่วงแรกอาจจะยากแต่ใช้เรื่อยๆ จะชินเองค่ะ  เมื่อเราจดเร็วขึ้น ก็เพิ่มโอกาสที่จะจดทันอาจารย์ จับเนื้อหาได้ครบทุกประเด็นด้วย
  
    
   3. ฝึกเขียนบ่อยๆ
           เดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์ คนก็ไม่ค่อยนิยมเขียนกันละ เน้นพิมพ์มากกว่า เพราะสะดวกและสวยด้วย แต่จดเลคเชอร์ยังต้องใช้มือเขียนอยู่ ถ้าน้องๆ ไม่ค่อยได้ฝึกเขียน มือไม้ก็จะแข็ง เขียนไม่ค่อยออก เขียนช้า แถมเขียนไม่สวยอีกต่างหาก ดังนั้นฝึกเขียนไว้เยอะๆ วันหยุดก็เขียนอะไรบ้าๆ บอๆ ไปก็ได้ การฝึกบ่อยๆ จนชิน ช่วยให้เราเขียนสวยและเขียนไวขึ้นแน่นอน
 
จดเลคเชอร์ยังไงให้ไว แถมอ่านออกด้วย!
 
  
      
 4. เลือกใช้เครื่องเขียนดีๆ
            เรื่องนี้สำคัญค่ะ เลือกปากกาที่เขียนดีๆ ไว้สักแท่ง ขอเป็นปากกาที่เขียนติดตลอด สีสม่ำเสมอ แท่งไหนเขียนไม่ติดแล้วก็เก็บไว้บ้านเป็นที่ระลึกเถอะค่ะ เพราะเวลาเรารีบๆ แต่ต้องมาเจอปากกาเขียนไม่ออก มันเซ็งนะคะ กว่าจะเปลี่ยนเป็นปากกาแท่งใหม่ ครูก็ขึ้นเรื่องใหม่ไปและ จดไม่ทันอีกแล้ว ว้า...แย่จัง!!
            อ้อแล้วก็ปากกาประเภทหัวแตก หมึกเยิ้ม ทิ้งไปได้เลยค่ะ เอามาใช้งานจะยิ่งทำให้สมุดของเราเลอะเทอะ นี่สมุดจดเลคเชอร์นะ ไม่ใช่สมุดระบายสี
  
     
  5. ทำอะไรล่วงหน้าได้ก็ทำเถอะ
           เวลาเราจดเลคเชอร์เพลินๆ ก็ไม่อยากมีอะไรสะดุดใช่มั้ยล่ะ ปากกาดีๆ เราก็เตรียมไว้แล้ว อีกปัญหานึงคือ สมุดหมดหน้า สมุดหมดเล่ม ดินสอไส้หมด ฯลฯ พวกนี้เราเตรียมตัวตอนว่างๆ ได้เลย เช่น ตีเส้นคั่นหน้าล่วงหน้าไว้ประมาณ 10 หน้า ขึ้นหน้าใหม่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาไม้บรรทัดนั่งลากเส้นค่ะ ส่วนพวกไส้ดินสอ ก็เช็คเป็นระยะๆ ว่าหมดยัง ถ้าใกล้หมดแล้วก็เติมใส่ให้พร้อม จะได้ไม่สะดุด
 
       
6. จัดวางตำแหน่งการเขียนให้สะดวกมือที่สุด
           หมายความว่า วางสมุดและท่านั่งให้สะดวกกับการเขียนมากที่สุด บนโต๊ะต้องไม่วางอะไรเยอะ ถ้าคาบนั้นอาจารย์ไม่ได้ใช้หนังสือก็ปิดหนังสือไปก่อน เพราะถ้าน้องๆ กางทุกอย่างพร้อมกัน ทั้งสมุด หนังสือ ถุงดินสอ แฟ้ม บลาบลาบลา น้องจะไม่มีที่เขียนค่ะ เวลาเขียนมือก็ต้องก่ายหนังสือ แล้วก็จดไม่ถนัด
           ถ้ามีปัญหาเรื่องที่นั่งกับเพื่อน ใช้มือถนัดคนละด้าน ก็สลับฝั่งให้เรียบร้อยค่ะ คนถนัดมือซ้ายก็ควรนั่งด้านซ้าย ถนัดมือขวาควรนั่งด้านขวา ถ้านั่งสลับกัน ข้อศอกจะชนกัน ชวนให้อารมณ์เสียบ่อยๆ  ก็แหม คนกำลังเขียนสวยๆ ชนทีนึง ป.ปลาหางยาวลอยออกไปนอกโต๊ะเลยค่ะ

 
จดเลคเชอร์ยังไงให้ไว แถมอ่านออกด้วย!
 
  
      
7. อย่าเขียนตัวใหญ่ และอย่าเขียนติดกันเป็นพรืด
            เขียนตัวใหญ่ใช้เวลานาน เพราะกว่าจะเขียนได้ตัวนึงต้องลากเส้นยาวกว่า  แนะนำให้น้องๆ ฝึกเขียนตัวเล็กลงจะจดรายละเอียดได้เร็วขึ้นค่ะ นอกจากนี้อย่าเขียนติดกันเป็นพรืด ยิ่งทำให้ดูสกปรก ถ้าจบใจความสำคัญขึ้นบรรทัดใหม่ได้ก็ควรขึ้นค่ะ เลคเชอร์ของเราจะดูเป็นระเบียบ ตัวหนังสือถึงจะไม่มีชีวิตแต่ก็ต้องมีที่ว่างไว้หายใจบ้างนะ
    
   
 8.  อย่าจดแต่ตัวอักษร
          จดเลคเชอร์ แต่ไม่เขียนเป็นตัวหนังสือ แล้วจะเขียนยังไง? เราสามารถเพิ่มลูกเล่นเล็กๆ ให้กับเลคเชอร์ของเราได้ด้วยสัญลักษณ์และรูปภาพค่ะ สัญลักษณ์ก็เช่น เครื่องหมาย +, -, *, %, &, $ เพราะสัญลักษณ์พวกนี้มีความหมายในตัวของมันเอง หากใช้เป็นก็ประหยัดเวลาในการเขียน และน่าอ่านมากขึ้นด้วย หรือจะใช้ตารางมาประยุกต์กับการจดเลคเชอร์ก็ได้นะคะ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ จำพวกสูตร วิธีการใช้ และพวกโครงสร้างประโยคต่าง    
          ส่วนรูปภาพประกอบ  วาดเป็นกิมมิคเล็กๆ ให้เลคเชอร์ดูมีสีสัน น่าอ่านและสวยงามมากขึ้นด้วยค่ะ

 
จดเลคเชอร์ยังไงให้ไว แถมอ่านออกด้วย!
ที่มา : http://www.dek-d.com/education/37301/

เส้นทางการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน